พฤติกรรมผู้บริโภคปี 2024

พฤติกรรมผู้บริโภคปี 2024

การที่แบรนด์ต่าง ๆ จะประสบความสำเร็จในการรังสรรผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ ขึ้นมาในยุคปัจจุบันนั้น ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า การเข้าใจถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่แบรนด์ควรให้ความสำคัญ จากผลกระทบที่ต่อเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมือง รวมไปจนถึงการเกิดขึ้นของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมที่น่าสนใจมากมาย ในปี 2024 นี้ ทาง Mintel บริษัทวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคระดับโลกได้เผยคาดการณ์เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค 5 ประการที่แบรนด์ต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

1. ความเป็นมนุษย์ (Being Human)

เทคโนโลยีและ AI ถูกพัฒนามากขึ้นอย่างรวดเร็วจนสามารถเข้ามาเปลี่ยนแปลงและช่วยให้การดำเนินชีวิตของเรามีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสะดวกสบายมากขึ้น สามารถลดการใช้แรงงานคนไปกับการทำงานที่เป็น routine และไม่ต้องการทักษะพิเศษมากนัก ด้วยเหตุนี้ ทั้งผู้บริโภคและบริษัทจึงได้เรียนรู้ที่จะสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้กับความสำคัญของเอกลักษณ์ความเป็นมนุษย์ เช่น อารมณ์ความรู้สึก ความเห็นอกเห็นใจ ความคิดสร้างสรรค์ และความต้องการที่จะเชื่อมโยงระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน นอกจากนี้แบรนด์และผู้บริโภคต่างก็มองหาองค์ประกอบที่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างสิ่งเกิดใหม่และสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น แบรนด์ก็ยังจำเป็นต้องลงทุนในความสามารถและทักษะของบุคลากรเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าต่อไปถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานต่าง ๆ ได้ก็ตาม

2. คุณค่าที่มากกว่าตัวเงิน (More than Money)

ถึงแม้ว่าราคาจะเป็นเรื่องสำคัญที่แบรนด์ควรคำนึงระหว่างการขาย แต่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ตัวแปรเพียงตัวเดียวที่มีผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อ เนื่องจากผู้บริโภคมีความสนใจมากขึ้นในเรื่องของ ‘คุณภาพ’ อีกทั้งยังมีงบในการจับจ่ายใช้สอยต่าง ๆ ที่จำกัด จึงทำให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณค่าที่จะได้รับเมื่อเทียบกับเงินที่จะจ่ายไปอย่างมาก ดังนั้นแบรนด์จึงต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้บริโภคด้วยการมุ่งเน้นสื่อสารถึงประสิทธิภาพการทำงานที่มั่นคงสม่ำเสมอ อีกทั้งยังต้องสร้างความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ และความถูกต้องควบคู่กันไปด้วย

3. ยุคแห่งการฟื้นฟูความสัมพันธ์ (Relationship Renaissance)

การเกิดขึ้นของโซเชียลมีเดีย โปรแกรมแชทและวิดีโอคอลต่าง ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาทำให้ผู้คนที่สามารถเข้าถึงเครื่องมือสื่อสารได้พบกับการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นของการสื่อสารระหว่างบุคคล มีความง่าย รวดเร็ว และสะดวกสบายขึ้นอย่างมาก แต่ในข้อดีเหล่านี้ก็มีข้อเสียคือ โอกาสที่จะนำผู้บริโภคไปสู่ภาวะเครียดและ burn out ก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ความผูกพันระหว่างผู้คนก็ห่างเหินขึ้นจากการลดลงของความปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ด้วยเหตุนี้ องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนจึงต่างพยายามเพิ่มโอกาสให้ผู้คนได้มาพบปะและปฏิสัมพันธ์กันในรูปแบบและวิธีการใหม่ ๆ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นเรื่องสำคัญของการเป็นอยู่ที่ดีที่ผู้บริโภคต้องการทำความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

4. เรียลลิตี้ใหม่แห่งความกรีน (New Green Reality)

ปัญหาของสภาพภูมิอากาศโลกมีแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงมากขึ้น ผู้บริโภคเริ่มตระหนักได้ว่าการรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศแบบเชิงรับนั้นไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหานี้อีกต่อไป และต้องการให้องค์กรต่าง ๆ เข้ามาร่วมมือกันอย่างจริงจังมากขึ้น ความยั่งยืนจะไม่สามารถนำมาเป็นเพียงจุดขายได้อีกต่อไป แต่จะถูกยกให้เป็นปัจจัยสำคัญของการอยู่รอดของธุรกิจด้วย แบรนด์ต่าง ๆ ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เดิม ๆ มาเป็นการสร้างนวัตกรรมและแนวทางการปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนแบบที่สามารถจับต้องได้และทำได้จริงอย่างต่อเนื่อง

5. สร้างมุมมองเชิงบวก (Positive Perspectives)

จากความกังวลถึงความไม่แน่นอนในชีวิตของผู้บริโภค ที่ไม่ว่าจะเกิดจากสภาวะเงินเฟ้อ ความไม่มั่นคงทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาของ AI ที่หลายคนกลัวว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะมาคุกคามความมั่นคงในหน้าที่การงานของตน แบรนด์จึงจำเป็นต้องสื่อสารความจริงกับผู้บริโภคอย่างซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา หลีกเลี่ยงการปรับแต่งให้ฟังดูดี เพื่อช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกมั่นคง มั่นใจและสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนได้

Source: Mintel

Writing date :